บทนำ
มีมาตรวัดอยู่หลายแบบที่ใช้ในการวัดสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศก็เป็นหนึ่งในมาตรวัดที่สำคัญที่สุด โดยมันจะให้ข้อมูลสำคัญแก่นักธุรกิจและนักลงทุนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโดยทั่วไปของเศรษฐกิจโดยรวม และช่วยให้พวกเขาสามารถประเมินผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินได้ดีขึ้น ว่าแต่ GDP คืออะไรเหรอ?
GDP คืออะไร?
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักตัวหนึ่งซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีความสำคัญต่อผู้เข้าร่วมในตลาดการเงิน GDP คือผลรวมของบริการและสินค้าสำเร็จรูปทั้งหมดที่ผลิตภายในประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมักจะถูกแสดงเป็นรายไตรมาสหรือรายปี
สูตรการคำนวณ
การคำนวณ GDP ถือเป็นหัวใจสำคัญของทุกการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้:
GDP = C+I+G+(X−M)
C — การบริโภคหรือการใช้จ่ายของผู้บริโภค
I — การลงทุน (ธุรกิจและบุคคล)
G — รายจ่ายโดยรวมของรัฐบาล
X — การส่งออกบริการและสินค้า
M — การนำเข้าบริการและสินค้า
3 วิธีในการวัด GDP
แต่ละวิธีการวัดจะให้มุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว ทั้งสามวิธีนี้ควรจะได้ตัวเลข GDP ที่แน่นอน
การวัดด้านรายจ่าย: วิธีนี้ได้มาจากการบวกยอดการใช้จ่ายทั้งหมดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ตามที่อธิบายไว้ข้างต้น นี่เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งมีประโยชน์ในวิเคราะห์การสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
การวัดด้านรายได้: วิธีการวัด GDP นี้จะคำนวณรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากการผลิตบริการและสินค้า รวมถึงค่าจ้าง กำไร และรายได้ภาษี โดยวิธีการวัดนี้จะมองว่า GDP เป็นสิ่งที่สร้างรายได้ ซึ่งทำให้มันเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการค้นหาว่าผลผลิตของเศรษฐกิจจำนวนเท่าใดที่ถูกจ่ายให้กับคนงานและเจ้าของทุนไปจริง ๆ
การวัดด้านการผลิต (ผลผลิต): วิธีนี้จะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้นตอนการผลิต โดยจะวัดจำนวนผลผลิตในแต่ละภาคส่วนของเศรษฐกิจแล้วลบด้วยต้นทุนสินค้าขั้นกลางออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ มันมักจะถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้มุมมองของเศรษฐกิจจากมุมมองของอุตสาหกรรม เช่น การมีส่วนร่วมของภาคเกษตรกรรม การผลิต หรือการบริการ
GDP ประกอบด้วยรายจ่ายอะไรบ้าง?
GDP ที่ได้จากการวัดด้านรายจ่ายจะประกอบด้วยสี่ส่วนประกอบหลัก ๆ ได้แก่ การใช้จ่ายของรัฐบาล การลงทุน การบริโภค และการส่งออกสุทธิ
การบริโภค (C): นี่คือส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ GDP ซึ่งประกอบด้วยรายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการ ระดับการบริโภคที่สูงจะบ่งบอกถึงความมั่นใจของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูง และด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจจึงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
การลงทุน (I): การลงทุนของธุรกิจในโรงงานและอุปกรณ์ ซึ่งจะให้สัญญาณการเติบโตในอนาคตของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นทางธุรกิจ
การใช้จ่ายของรัฐบาล (G): การใช้จ่ายใด ๆ ของรัฐบาลในบริการสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายมากเกินไปมักเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณได้
การส่งออกสุทธิ (X—M): การส่งออกสุทธิที่เป็นบวกจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าสินค้าของประเทศนั้น ๆ เป็นที่ต้องการสูงมากในตลาดโลก ในทางกลับกัน หากประเทศใช้จ่ายเงินเพื่อการนำเข้ามากกว่าการส่งออก ตัวแปรนี้ของสมการจะทำให้ GDP ของประเทศนั้นลดลง
เหตุใดการส่งออกสุทธิจึงถูกเขียนว่า X−M
X-M ในการคำนวณหา GDP นั้นหมายถึงการส่งออกสุทธิ ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่างการส่งออกทั้งหมดและการนำเข้าทั้งหมดของประเทศ สิ่งนี้จะช่วยวิเคราะห์ดุลการค้า และผลกระทบสุทธิต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศอันเกิดจากการค้าของประเทศนั้น ๆ กับประเทศอื่น ๆ ในโลก
หาก X−M แล้วเป็นค่าบวก GDP ของประเทศก็จะสะท้อนสิ่งนั้น X–M ที่เป็นค่าบวกจะนำไปสู่เศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน ซึ่งหมายถึงส่วนอื่น ๆ ของโลกจะมีแนวโน้มต้องการสินค้าและบริการที่สูงขึ้นมาก
ในทางตรงกันข้าม หาก X−M มีค่าเป็นลบเนื่องจากการนำเข้าสูงกว่าการส่งออก ค่านี้ก็จะถูกหักออกจาก GDP สิ่งนี่อาจเป็นผลจากการพึ่งพาสินค้าและการบริการจากต่างประเทศ และการขาดดุลจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะยาว
ตัวเลข GDP ที่เป็นบวก / เป็นลบ
ตัวเลข GDP ที่เป็นบวกและเป็นลบต่างก็มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน อัตราการเติบโตของ GDP ที่เป็นบวกมักพบเห็นได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนาที่มีความแข็งแกร่ง นั่นเป็นเพราะบริษัทต่าง ๆ ผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มที่จะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ นักลงทุนในตลาดหุ้นมักเชื่อมโยงการเติบโตของ GDP ที่เป็นบวกกับการคาดหวังว่าผลประกอบการจะเพิ่มสูงขึ้นและโอกาสในการเติบโตที่เป็นไปได้
ตัวอย่างเช่น การเผยตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2024 ได้ออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 0.8% ซึ่งส่งผลให้ดัชนี US500 ปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระหว่างวัน
ในทางกลับกัน อัตราการเติบโตของ GDP ที่เป็นลบจะสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย มันอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การบริโภคที่ลดลงไปจนถึงการลงทุนหรือการส่งออกที่ลดลง อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ที่ลดลง และผลกำไรของธุรกิจที่ลดลง มักเกี่ยวข้องกับการเติบโตของ GDP ที่เป็นลบและสภาวะตลาดที่เสื่อมถอย
วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
การประเมินสภาพเศรษฐกิจ: GDP เป็นหนึ่งในมาตรวัดที่ครอบคลุมที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ นักลงทุนมองว่ามันเป็นหนึ่งในดัชนีที่น่าสังเกตในการตรวจสอบว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตหรือหดตัว การเติบโตของ GDP มักบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแกร่งขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกำลังเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
จังหวะในการเข้าและออกจากตลาด: ส่วนใหญ่แล้ว ทางเลือกของเทรดเดอร์ว่าจะเข้าหรือออกจากตลาดเมื่อใดจะถูกกำหนดโดยแนวโน้มของ GDP GDP เป็นตัวชี้วัดที่ประเมินผลในสิ่งที่ผ่านมาแล้วและมีแนวโน้มที่จะยืนยันสภาพเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงช่วยสนับสนุนเทรดเดอร์ในการตัดสินใจว่าพวกเขาควรเข้าหรือออกจากตลาดอย่างไร
ข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรมต่าง ๆ: สามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบของ GDP บางส่วนได้ผ่านการวิเคราะห์ที่รวมเอาการลงทุนและการบริโภคเข้ามาด้วย นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถระบุได้ว่าอุตสาหกรรมใดที่ยังคงเป็นแรงผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อสกุลเงินและพันธบัตร: การเติบโตของ GDP อาจเป็นแรงผลักดันหลักต่อมูลค่าของสกุลเงินและแม้กระทั่งตลาดพันธบัตร ระดับ GDP ที่สูงขึ้นอาจทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และในกระบวนการนี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์และตลาดตราสารหนี้
ข้อเสียของ GDP
แม้ว่า GDP จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจหลัก แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดอย่างมาก โดย GDP จะไม่คำนึงถึงความไม่เท่าเทียมกันของรายรับ แต่มันก็ยังคงสามารถสะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แม้ว่าความมั่งคั่งทั้งหมดจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนก็ตาม นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสภาพโดยทั่วไปของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ GDP ก็ยังไม่พิจารณากิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กิจกรรมตลาด ซึ่งได้แก่ งานในบ้านและงานอาสาสมัคร ซึ่งมีส่วนสนับสนุนในการพัฒนาสังคมเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ตัวบ่งชี้ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อการผลิตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจประเมินประโยชน์เกินจริง และสุดท้าย GDP จะสะท้อนถึงผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจในอดีตเป็นตัวชี้วัดที่ประเมินผลในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แถมยังมีค่าทำนายที่จำกัดสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
GDP กับดัชนี SET เกี่ยวข้องกันอย่างไร?
ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง GDP และดัชนีหุ้นโดยเฉพาะ SET (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อนักลงทุน GDP แสดงถึงสถานะเศรษฐกิจโดยทั่วไปของประเทศ และการเติบโตของ GDP จะแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองโดยทั่วไปของธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้รายได้ขององค์กรเพิ่มขึ้นในที่สุด
สำหรับประเทศไทย อัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อดัชนี SET เนื่องจากดัชนีเหล่านี้จะบ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการทางธุรกิจที่ดี และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มั่นคง ในทางกลับกัน สถานประกอบการจะลดลงเมื่อการเติบโตของ GDP เริ่มลดลงหรือหดตัว เนื่องจากตัวบ่งชี้ที่เป็นลบอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกำไรและเงินทุนจากนักลงทุน-ผู้บริโภคน้อยลง
พลวัตของ GDP ของประเทศไทยใน 10 ปีข้างหน้าและการคาดการณ์
GDP ของประเทศไทยประสบกับภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเปราะบางของเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตของ GDP ที่มั่นคงในช่วงระหว่างปี 2014 ถึง 2019 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-4% ต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่สูง แต่เนื่องจากมีการพึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นอย่างมาก ทำให้ในปี 2020 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ GDP ลดลงอย่างรุนแรง
ในอนาคต นักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของ GDP จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเป็นประมาณ 2.8% ในปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล
ตามข้อมูลของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาดว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตขึ้น 3-3.5% ต่อปีภายในปี 2030 ส่วนการคาดการณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้นนั้นคาดว่าการเติบโตนี้จะบรรลุอัตราต่อปีที่ 3.3% หากการลงทุนในปัจจุบันด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังคงประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม IMF ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีการเพิ่มผลผลิตอย่างมีนัยสำคัญและไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างที่จำเป็นอย่างยิ่ง การเติบโตก็มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ต่ำกว่า 2% ยิ่งไปกว่านั้น ความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับประชากรสูงอายุและจำนวนแรงงานที่ลดลงก็จะส่งผลให้การเติบโตลดลงอีกด้วย
นำความรู้ใหม่ของคุณไปปฏิบัติเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
สรุป
หากคุณเป็นเทรดเดอร์หรือนักลงทุน GDP และการเคลื่อนไหวในตลาดการเงินถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องเข้าใจ GDP จะสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ มันเป็นตัวบ่งชี้ทั่วไปที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค การลงทุนทางธุรกิจ รายจ่ายของรัฐบาล และพลวัตของการค้า แม้ว่าบางครั้ง บางครั้งสิ่งนี้อาจสัมพันธ์กับตัวบ่งชี้ตลาดเชิงบวก แต่ก็ควรคำนึงถึงข้อจำกัดและลักษณะการติดตามของข้อมูลนี้ GDP มีความสัมพันธ์กับดัชนีต่าง ๆ เช่น ดัชนี SET นี่เป็นการยืนยันว่านักลงทุนที่จริงจังจะต้องพิจารณาปัจจัยเศรษฐกิจทั่วไปบางส่วน
ในการตัดสินใจลงทุนเชิงกลยุทธ์และมีข้อมูลในตลาดโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงแนวโน้มการเติบโตของ GDP และองค์ประกอบหลักของมันอย่างต่อเนื่อง